หัวหินสวยมากกกกกกกกกกกกกกกกก

เชียงใหม่สวยมากกกกกกกกกกกกก

วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2553

ภาพพิมพ์หิน


เทคนิคแม่พิมพ์หิน - LITHOGRAPHY
กระบวนการสร้างงานภาพพิมพ์ประเภทพื้นผิวราบ - PLANOGRAPHIC
ภาพพิมพ์หิน (LITHOGRAPH)
LITHO ในภาษากรีก แปลว่า หิน และ GRAPHE IN คือ การขีดเขียนภาพพิมพ์ลิโธกราฟหรือ ภาพพิมพ์หิน ในปัจจุบันสามารถใช้แม่พิมพ์ได้ 2 ชนิด คือ • แม่พิมพ์จากก้อนหินปูน (Lime Stone) และ • แม่พิมพ์จากแผ่นโลหะ ( Metal Plate)
แม่พิมพ์หินปูน (LIME STONE)
หินปูนที่นำมาใช้เป็นแม่พิมพ์พบในประเทศตุรกี แคนาดา สเปน เป็นต้น แต่ที่มีคุณภาพดีที่สุด คือ หินปูนจากบาวาเรียทางตอนใต้ของประเทศเยอรมัน นำมาตัดเป็นขนาดใหญ่ตั้งแต่ 9 x 14 นิ้ว จนถึง 30 x 40 นิ้ว หรือมากกว่านี้แต่จะพบน้อยลง ความหนาระหว่าง 3 - 4 นิ้ว หินปูนนี้จะมีี ผิวหน้าหินเป็นรูพรุนเล็กๆ โดยทั่วไปเมื่อถูกกรดกัดรูพรุนจะลึกลงไปอีก ซึ่งรูพรุนนี้จะอุ้มน้ำได้ดี แต่สามารถจะระเหยโดยเร็วได้เช่นกัน แม่พิมพ์ที่มีรอยแตกเป็นเส้นตามธรรมชาตินั้น ไม่มีผลต่อ ภาพที่เขียน
แม่พิมพ์จากแผ่นโลหะ ( METAL PLATE)
ในศตวรรษที่ 19 ได้มีการคิดค้นแผ่นโลหะอะลูมินั่มและสังกะสี (Aluminum plate,Zinc plate) ขณะนี้เราใช้แม่พิมพ์อะลูมินั่มเกรน 180 หรือ 120 แทนก้อนหินปูน มีข้อดีของแม่พิมพ์ชนิดนี้คือ มีน้ำหนักที่เบา ราคาไม่แพงสามารถยกเคลื่อนย้ายได้สะดวกในกรณีที่่ทำการพิมพ์งานชิ้นใหญ่ๆ จะมีความสะดวกมากกว่าพิมพ์ด้วยก้อนหินปูน เพราะหากหินปูนก้อนใหญ่ขึ้น ย่อมหาได้ยากขึ้น และราคาแพงมากๆ ผิวหน้าของแม่พิมพ์นี้จะมีรูพรุนเช่นเดียวกับบนแม่พิมพ์หินแต่หยาบกว่า
ภาพพิมพ์หิน เป็นเทคนิควิธีการพิมพ์ที่เกิดจากปฏิกิริยาทางเคมีเป็นหลัก โดยการเขียนภาพลงบนหินปูน (Lime Stone) หรือแผ่นอลูมินัมเพรท (Aluminum Plate) ด้วยวัสดุที่เป็นไข อาทิเช่นแท่งดินสอ ไข(Litho-Pencil),หมึกแท่งไข(Litho-Crayon),หมึกแท่งละลายน้ำ(Stick tusche)หรือวัสดุต่างๆ ที่มีลักษณะเป็นไข ( ไม่ทำละลายกับน้ำ ) เป็นต้น
ก่อนที่ภาพที่เขียนด้วยวัสดุไข จะมีสภาพเป็นแม่พิมพ์ที่สามารถพิมพ์ภาพได้เป็นจำนวนมาก จะต้องผ่านขั้นตอนการสร้างภาพด้วยเคมีก่อน โดยเรียกขั้นตอนนี้ว่า การกัดกรด โดยใช้ส่วน ผสมของกาวกระถินและกรด ในอัตราส่วนที่เหมาะสมกับเวลาในการกัดกรดเพื่อให้ได้แม่พิมพ์ไข ที่มีน้ำหนักหรือรายละเอียดต่าง ๆ ตามต้องการ
ในระหว่างขั้นตอนการกัดกรดนี้ผิวหน้าของหิน หรือแผ่นอะลูมินั่มบริเวณที่ไม่ได้รับการเขียน หรือปกคลุมด้วยวัสดุที่เป็นไขจะถูกกาวกระถินและกรดที่ผสมอยู่ในกาวกัดให้รูพรุนที่ผิวหน้าของ หินหรือเพลทมีลักษณะลึกมากขึ้น ผิวชั้นบนสุดบางส่วนที่จะถูกกัดหลุดออกไปด้วย (การเปลี่ยน แปลงที่เกิดขึ้นนี้ อยู่ในระดับที่ไม่สามารถสังเกตุเห็นได้ด้วยตาเปล่า ) ดังนี้เองผิวหน้าของหิน และแผ่นอลูมินั่ม หลังจากผ่านการกัดกรดแล้วส่วนที่เป็นไขหรือภาพ จะมีสภาพที่จะรับกับไข (หมึกพิมพ์) ส่วนบริเวณที่ไม่ได้เขียนด้วยไขจะมีสภาพรับน้ำได้ดี
ในขั้นตอนการพิมพ์ เมื่อลูบน้ำหมาดๆ บนแม่พิมพ์ด้วยฟองน้ำ รูพรุนเล็กๆ ที่อยู่บนผิวหน้า เพลทนี้จะอุ้มน้ำไว้ เมื่อกลิ้งลูกกลิ้งลงไปบนผิวหน้าเพลทที่เป็นแม่พิมพ์ หมึกจากลูกกลิ้งจะเกาะ ติดกับส่วนที่เป็นไขบริเวณภาพที่เขียนไว้ แต่จะไม่เกาะติดผิวหน้าหินส่วนที่อุ้มน้ำ เพราะคุณ สมบัติตามธรรมชาติของหมึกที่มีส่วนผสมของไขย่อมติดกับไข แต่ไขจะไม่ติดกับน้ำเมื่อวางแผ่น กระดาษลงบนแม่พิมพ์ แล้วกดพิมพ์ด้วยระบบกดเคลื่อน แรงกดจากด้านบนที่คงที่ี่ในขณะที่ แม่พิมพ์, กระดาษงาน, กระดาษรองพิมพ์ และแผ่นพลาสติกที่ประกบกันอยู่เคลื่อนที่ไปด้านหน้า จะทำให้หมึกบนแม่พิมพ์ผนึกติดกับกระดาษ ปรากฏเป็นภาพตามต้องการ
เนื่องจากวัสดุเฉพาะที่ใช้สร้างภาพในเทคนิคภาพพิมพ์หินในปัจจุบันเป็นวัสดุหายาก และมีี ราคาแพง จึงมีการทดลองนำวัสดุต่างๆ นอกเหนือจากที่ได้ยกตัวอย่างมา ผลที่ได้อาจจะไม่ สามารถนำไปเปรียบเทียบหรือ ทดแทนที่วัสดุแบบดั้งเดิมได้ แต่วัสดุบางชนิดก็สามารถสร้าง ลักษณะที่น่าสนใจใหม่ๆ ขึ้นมาได้เช่นกัน ไม่ว่าวัสดุที่ใช้ในการสร้างภาพบนแม่พิมพ์จะมีความ หลากหลายเพียงใดก็ยังคงยึดอยู่บนพื้นฐานเทคนิควิธีการเดียวกัน ดังนั้นเราจึงสามารถทำการ ทดลองวัสดุใหม่ ๆ ด้วยตนเองได้ตลอดเวลา



ภาพพิมพ์ญี่ปุ่น


หนังสือที่พิมพ์จากวิธีการพิมพ์แกะไม้จากวัดพุทธศาสนาในประเทศจีนพบในญี่ปุ่นมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 8 ในปี ค.ศ. 764 จักรพรรดินีโชะตุกุ (Shotuku) จ้างให้ทำเจดีย์เล็กๆ หนึ่งล้านองค์ (“Hyakumanto Darani”) แต่ละองค์ก็จะบรรจุม้วนกระดาษเล็ก (กว้างยาวประมาณ 6 x 45 เซนติเมตร) ที่มีคำสวดมนต์ และทรงแจกจ่ายไปยังวัดวาอารามทั่วประเทศเพื่อเป็นการฉลองการปราบกบฎเอมิ (Fujiwara no Nakamaro)[1] ซึ่งเป็นตัวอย่างของการพิมพ์แกะไม้ที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่มีหลักฐานปรากฏในญี่ปุ่น
เมื่อมาถึงคริสต์ศตวรรษที่ 11 วัดในประเทศญี่ปุ่นก็เริ่มพิมพ์หนังสือพุทธศาสนาและภาพของตนเอง แต่การพิมพ์ก็จำกัดเฉพาะสิ่งที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา เพราะการพิมพ์ยังเป็นสิ่งที่มีราคาสูงเกินกว่าที่จะผลิตเป็นจำนวนมากได้ และในขณะนั้นก็ยังไม่มีผู้ที่มีความรู้พอที่จะอ่านหนังสือที่พิมพ์ได้อย่างกว้างขวาง ซึ่งทำให้การพิมพ์ไม่มีตลาด
จนกระทั่งเมื่อมาถึงปี ค.ศ. 1590 จึงได้มีการพิมพ์งานที่ไม่เกี่ยวกับศาสนาขึ้นเป็นครั้งแรกในญี่ปุ่น งานที่พิมพ์คือ “Setsuyō-shū” ซึ่งเป็นพจนานุกรมจีน-ญี่ปุ่นสองเล่ม แม้ว่านักบวชเยซูอิดจะใช้แท่นพิมพ์ในนะงะซะกิกันมาตั้งแต่ ค.ศ. 1590[1] แต่อุปกรณ์การพิมพ์ที่นำกลับมาโดยกองทัพของโทะโยะโตะมิ ฮิเดะโยะชิที่ไปทำการรุกรานเกาหลีในปี ค.ศ. 1593 กลับมามีอิทธิพลต่อความเปลี่ยนแปลงทางการพิมพ์ในญี่ปุ่นมากกว่า สี่ปีต่อมาก่อนที่โทะกุงะวะ อิเอะยะซุจะเป็นโชกุนก็ได้สร้างแท่นพิมพ์ขึ้นเป็นครั้งแรก โดยใช้ไม้เป็นส่วนประกอบแทนที่จะเป็นโลหะ อิเอะยะซุควบคุมการสร้างแม่แบบตัวอักษร 100,000 ชิ้นที่ใช้ในการพิมพ์เอกสารทั้งทางการเมืองและทางประวัติศาสตร์ ในฐานะโชกุนอิเอะยะซุก็สนับสนุนการศึกษาและเป็นผู้นำในการให้การศึกษาแก่ประชาชนในเมือง การพิมพ์ในช่วงนี้มิได้นำโดยสถาบันโชกุน แต่เป็นสำนักพิมพ์เอกชนที่เริ่มปรากฏขึ้นในเกียวโตเมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 นอกจากนั้นโทะโยะโทะมิ ฮิเดะโยะริ (Toyotomi Hideyori) ผู้เป็นปรปักษ์ต่อโทะกุงะวะ อิเอะยะซุก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่มีบทบาทในการพัฒนาและเผยแพร่การพิมพ์ในญี่ปุ่นด้วย
หนังสือขงจื๊อAnalects” ได้รับการพิมพ์ในปี ค.ศ. 1598 โดยใช้แท่นพิมพ์เกาหลีตามพระบรมราชโองการของ สมเด็จพระจักรพรรดิโกะ-โยเซ (Emperor Go-Yōzei) หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือฉบับที่เก่าที่สุดในญี่ปุ่นที่พิมพ์ด้วยแท่นพิมพ์ แม้ว่าการใช้แท่นพิมพ์จะดูว่ามีความสะดวกแต่ก็เป็นที่ตกลงกันว่าการพิมพ์อักษรญี่ปุ่นที่มีลักษณะเป็นแบบ “Semi-cursive script” พิมพ์ได้ดีกว่าเมื่อใช้การพิมพ์โดยวิธีแกะไม้ ฉะนั้นการพิมพ์จึงหันกลับไปเป็นการใช้การพิมพ์ด้วยพิมพ์แกะไม้ และเมื่อมาถึง ค.ศ. 1640 การพิมพ์ด้วยวิธีนี้ก็ใช้สำหรับการพิมพ์แทบจะทุกสิ่งทุกอย่าง
หลังจากนั้นการพิมพ์ด้วยวิธีนี้เริ่มเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายในบรรดาศิลปิน และ ได้รับการนำไปใช้ในการพิมพ์งานที่มีขนาดเล็กและราคาถูก และการพิมพ์หนังสือ ผู้ที่เป็นผู้ริเริ่มและผู้นำในการสร้างหนังสือศิลปะด้วยวิธีนี้ที่นำไปสู่การผลิตเป็นอุตสาหกรรมสำหรับสาธารณชนคือโฮะนะมิ โคเอตซุ (Honami Kōetsu) และ ซุมิโนะคุระ โซะอัน (Suminokura Soan) ในสำนักพิมพ์ที่ซะกะทั้งสองคนก็สร้างพิมพ์ไม้สำหรับงานคลาสสิคของญี่ปุ่นที่รวมทั้งเนื้อหาและภาพประกอบ ซึ่งเท่ากับเป็นการเปลี่ยนจาก “ม้วนหนังสือ” (Emakimono) มาเป็นหนังสือสำหรับตลาดที่กว้างขึ้น ปัจจุบันหนังสือเหล่านี้เรียกว่าหนังสือโคเอตซุ, หนังสือซุมิโนะคุระ หรือหนังสือซะกะ ซึ่งถือกันว่าเป็นสิ่งพิมพ์จากงานคลาสสิคแรก ที่มีฝีมือและคุณภาพดีที่สุด โดยเฉพาะที่มีชื่อเสียงที่สุดคืองานพิมพ์ซะกะ “ตำนานอิเซะ” (Ise monogatari) ที่พิมพ์ในปี ค.ศ. 1608
วิธีการพิมพ์ที่แม้จะเป็นวิธีที่ยุ่งยากและมีราคาสูงกว่าวิธีการพิมพ์ต่อมาแต่กระนั้นก็ยังเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากกว่าวิธีที่ใช้กันมาก่อนหน้านั้นที่แต่ละเล่มมาจากการคัดลอกด้วยมือ ซึ่งทำให้เป็นการเริ่มต้นการผลิตหนังสือกันอย่างเป็นอุตสาหกรรมสำหรับสาธารณชน ขณะที่หนังสือซะกะจะเป็นหนังสือที่พิมพ์บนกระดาษที่สวยงาม และใช้การตกแต่งหลายอย่างเพราะเป็นการพิมพ์สำหรับกลุ่มคนจำนวนไม่มากนักที่เป็นคอหนังสือ แต่สำนักพิมพ์อื่นในเกียวโตหันไปหาวิธีที่จะพิมพ์ให้มีราคาถูกกว่าและขายได้ในวงที่กว้างขึ้น เนื้อหาของหนังสือก็แตกต่างกันออกไปมากที่รวมทั้งหนังสือท่องเที่ยว, ตำราแนะนำ, “นวนิยายเชิงล้อเลียน” (kibyōshi), “วัฒนธรรมคนเมือง” (sharebon), หนังสือศิลปะ และบทละครสำหรับการเล่น “หุ่น” (jōruri) สิ่งที่มักจะเกิดขึ้นภายในหนังสือแต่ละประเภท เช่นหนังสือบทละครสำหรับการเล่น “หุ่น” ก็จะมีการเลือกใช้ลักษณะการเขียนแบบใดแบบหนึ่ง ซึ่งก็หมายความว่าลักษณะการเขียนอักษรของผู้ได้รับเลือกก็จะใช้เป็นมาตรฐานของหนังสือประเภทนั้น
สำนักพิมพ์ต่างๆ ได้รับการก่อตั้งขึ้นมาและขยายตัวกันอย่างรวดเร็วที่พิมพ์ทั้งหนังสือและใบปลิว สำนักพิมพ์ที่มีชื่อเสียงที่สุดสำนักพิมพ์หนึ่งคือสึตะ-ยะ (Tsutaya Jūzaburō) สำนักพิมพ์จะเป็นเจ้าของแม่พิมพ์ที่แกะขึ้นซึ่งคล้ายกับการมีลิขสิทธิ์ในสมัยปัจจุบัน สำนักพิมพ์หรือเอกชนสามารถซื้อแม่พิมพ์จากกันและกันได้ เมื่อซื้อแล้วก็จะเป็นผู้มีสิทธิในการพิมพ์ด้วยแม่พิมพ์ที่ซื้อมา แต่ความคิดเรื่องการเป็นเจ้าของปัญญสมบัติยังไม่ปรากฏ
การพิมพ์ด้วยแม่พิมพ์แกะดำเนินต่อมาจนกระทั่งความนิยมภาพอุคิโยะเริ่มลดถอยลง และการใช้แท่นพิมพ์และวิธีการพิมพ์แบบอื่นเข้ามาแทนที่ในการพิมพ์งานศิลปะที่เป็นแบบใหม่

วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ภาพพิมพ์


การพิมพ์ภาพ หมายถึง การถ่ายทอดรูปแบบจากแม่พิมพ์ออกมาเป็นผลงานที่มีลักษณะ
เหมือนกันกับแม่พิมพ์ทุกประการ และได้ภาพที่เหมือนกันมีจำนวนตั้งแต่ 2 ชิ้นขึ้นไป
การพิมพ์ภาพเป็นงานที่พัฒนาต่อเนื่องมาจากการวาดภาพ ซึ่งการวาดภาพไม่สามารถ
สร้างผลงาน 2 ชิ้น ที่มีลักษณะเหมือนกันทุกประการได้ จึงมีการพัฒนาการพิมพ์ขึ้นมา
ชาติจีน ถือว่าเป็นชาติแรกที่นำเอาวิธีการพิมพ์มาใช้อย่างแพร่หลายมานานนับพันปี จากนั้น
จึงได้แพร่หลายออกไปในภูมิภาคต่างๆของโลก ชนชาติทางตะวันตกได้พัฒนาการพิมพ์ภาพ
ขึ้นมาอย่างมากมาย มีการนำเอาเครื่องจักรกลต่างๆเข้ามาใช้ในการพิมพ์ ทำให้การพิมพ์มีการ
พัฒนาไปอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน
การพิมพ์ภาพมีองค์ประกอบที่สำคัญดังนี้
1. แม่พิมพ์ เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการพิมพ์
2. วัสดุที่ใช้พิมพ์ลงไป
3. สีที่ใช้ในการพิมพ์
4. ผู้พิมพ์
ผลงานที่ได้จากการพิมพ์ มี 2 ชนิด คือ
1. ภาพพิมพ์ เป็นผลงานพิมพ์ที่เป็นภาพต่างๆ เพื่อความสวยงามหรือบอกเล่าเรื่องราวต่าง
อาจมีข้อความ ตัวอักษรหรือตัวเลขประกอบหรือไม่มีก็ได้
2. สิ่งพิมพ์ เป็นผลงานพิมพ์ที่ใช้บอกเล่าเรื่องราวต่างๆ เป็นตัวอักษร ข้อความ ตัวเลข อาจมี
ภาพประกอบหรือไม่มีก็ได้
ประเภทของการพิมพ์ การพิมพ์แบ่งออกได้หลายประเภทตามลักษณะต่าง ดังนี้
1. แบ่งตามจุดมุ่งหมายในการ พิมพ์ ได้ 2 ประเภท คือ
1.1 ศิลปภาพพิมพ์ ( GRAPHIC ART ) เป็นงานพิมพ์ภาพเพื่อให้เกิดความสวยงามเป็น
งานวิจิตรศิลป์
1.2 ออกแบบภาพพิมพ์ ( GRAPHIC DESIGN ) เป็นงานพิมพ์ภาพประโยชน์ใช้สอยนอก
เหนือไปจากความสวยงาม ได้แก่ หนังสือต่างๆ บัตรต่างๆ ภาพโฆษณา ปฏิทิน ฯลฯ
จัดเป็นงาน ประยุกต์ศิลป์
2. แบ่งตามกรรมวิธีในการพิมพ์ ได้ 2 ประเภท คือ
2.1 ภาพพิมพ์ต้นแบบ ( ORIGINAL PRINT ) เป็นผลงานพิมพ์ที่สร้างจากแม่พิมพ์และวิธี
การพิมพ์ที่ถูก สร้างสรรค์และกำหนดขึ้นโดยศิลปินเจ้าของผลงาน และเจ้าของผลงาน
จะต้องลงนามรับรองผลงานทุกชิ้น บอกลำดับที่ในการพิมพ์ เทคนิคการพิมพ์ และ วัน "ความรักของแม่" ผลงานภาพพิมพ์ ของ ประหยัด พงษ์ดำ
เดือน ปี ที่พิมพ์ด้วย
2.2 ภาพพิมพ์จำลองแบบ ( REPRODUCTIVE PRINT ) เป็นผลงานพิมพ์ที่สร้างจากแม่พิมพ์
หรือวิธี การพิมพ์วิธีอื่น ซึ่งไม่ใช่วิธีการเดิมแต่ได้รูปแบบเหมือนเดิม บางกรณีอาจเป็นการ
ละเมิดลิขสิทธิ์ผู้อื่น

3. แบ่งตามจำนวนครั้งที่พิมพ์ ได้ 2 ประเภท คือ
3.1 ภาพพิมพ์ถาวร เป็นภาพพิมพ์ที่พิมพ์ออกมาจากแม่พิมพ์ใดๆ ที่ได้ผลงานออกมามีลักษณะ
เหมือนกันทุกประการ ตั้งแต่ 2 ชิ้นขึ้นไป
3.2 ภาพพิมพ์ครั้งเดียว เป็นภาพพิมพ์ที่พิมพ์ออกมาได้ผลงานเพียงภาพเดียว ถ้าพิมพ์อีกจะ
ได้ผลงานที่ไม่เหมือนเดิม

4. แบ่งตามประเภทของแม่พิมพ์ ได้ 4 ประเภท คือ
4.1 แม่พิมพ์นูน ( RELIEF PROCESS ) เป็นการพิมพ์โดยให้สีติดอยู่บนผิวหน้าที่ทำให้นูน
ขึ้นมาของแม่พิมพ์ ภาพที่ได้เกิดจากสีที่ติดอยู่ในส่วนบนนั้น แม่พิมพ์นูนเป็นแม่พิมพ์
ที่ทำขึ้นมาเป็นประเภทแรก ภาพพิมพ์ชนิดนี้ได้แก่ ภาพพิมพ์แกะไม้ ( WOOD-CUT )
ภาพพิมพ์แกะยาง ( LINO-CUT ) ตรายาง ( RUBBER STAMP ) ภาพพิมพ์จากเศษวัสดุต่างๆ
4.2 แม่พิมพ์ร่องลึก ( INTAGLIO PROCESS ) เป็นการพิมพ์โดยให้สีอยู่ในร่องที่ทำให้ลึกลง
ไปของแม่พิมพ์โดยใช้แผ่นโลหะทำเป็นแม่พิมพ์ ( แผ่นโลหะที่นิยมใช้คือแผ่นทองแดง )
และทำให้ลึกลงไปโดยใช้น้ำกรดกัด ซึ่งเรียกว่า ETCHING แม่พิมพ์ร่องลึกนี้พัฒนาขึ้นโดย
ชาวตะวันตก สามารถพิมพ์งานที่มีความ ละเอียด คมชัดสูง สมัยก่อนใช้ในการพิมพ์ หนังสือ
พระคัมภีร์ แผนที่ เอกสารต่างๆ แสตมป์ ธนบัตร ปัจจุบันใช้ในการพิมพ์งานที่เป็นศิลปะ
และธนบัตร
4.3 แม่พิมพ์พื้นราบ ( PLANER PROCESS ) เป็นการพิมพ์โดยให้สีติดอยู่บนผิวหน้า
ที่ราบเรียบของแม่พิมพ์ โดยไม่ต้องขุดหรือแกะพื้นผิวลงไป แต่ใช้สารเคมีเข้าช่วย ภาพพิมพ์
ชนิดนี้ได้แก่ ภาพพิมพ์หิน ( LITHOGRAPH ) การพิมพ์ออฟเซท ( OFFSET ) ภาพพิมพ์กระดาษ
( PAPER-CUT ) ภาพพิมพ์ครั้งเดียว ( MONOPRINT )
4.4 แม่พิมพ์ฉลุ ( STENCIL PROCESS ) เป็นการพิมพ์โดยให้สีผ่านทะลุช่องของแม่พิมพ์ลงไป
สู่ผลงานที่อยู่ด้านหลัง เป็นการพิมพ์ชนิดเดียวที่ได้รูปที่มีด้านเดียวกันกับแม่พิมพ์ ไม่กลับซ้าย
เป็นขวา ภาพพิมพ์ชนิดนี้ได้แก่ ภาพพิมพ์ฉลุ ( STENCIL ) ภาพพิมพ์ตะแกรงไหม ( SILK SCREEN )
การพิมพ์อัดสำเนา ( RONEO ) เป็นต้น ผลงานภาพพิมพ์แกะไม้ของ ชนกกานต์ กุลเสน